top of page
  • รูปภาพนักเขียนmoo mall

คาบาร์เร่ต์: ฉีกขนบแต่งหน้าแบบเดิมๆ

Brief: เร่เข้ามาครับ เร่เข้ามา ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ทั้งสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี เชิญมารับชมการแสดงสุดยิ่งใหญ่จากคณะคาบาร์เร่ต์ ที่จะพาคุณชมประวัติของคาบาร์เร่ต์ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!

คาบาร์เร่ต์ในประเทศไทย

ถ้าหากพูดถึงคาบาร์เร่ต์ในไทยนั้น ผู้คนมักจะนึกถึงการรวมกลุ่มกันของสาวประเภทสอง

.

จัดการแสดงความสามารถร้อง เล่น เต้น ระบำ ผสมผสานกับเทคโนโลยีแสง สี เสียง ตระการตา

.

และคณะที่โดดเด่นที่สุดก็คือ คณะทิฟฟานี่โชว์ พัทยา

.

ซึ่งประวัติคาบาร์เร่ต์ไทยคณะทิฟฟานี่โชว์ พัทยา

.

ปี 1974 โดยคุณวิชัย เลิศฤทธิ์เรืองศิลป์ ก่อตั้งเป็นธุรกิจบาร์เกย์ขนาดเล็ก ที่

บริเวณหัวแหลม (ปัจจุบันคือ แหลมบาลีฮาย พัทยาใต้)

.

และได้รับความนิยม จนทำให้พัฒนาธุรกิจคาบาร์เร่ต์ในไทยอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน


คาบาร์เร่ต์ในไทยนั้นเป็นการผสมผสานความอ่อนช้อย งดงาม และความแข็งแรงไว้อย่างกลมกลืน

.

ในส่วนของเสื้อผ้า หน้าผม การแต่งกายของนักแสดง ทำขึ้นอย่างประณีต ฉากหลังจะเสมือนจริงมาก

.

คาบาร์เร่ต์คืออะไร

คำว่า คาบาร์เร่ต์(Cabaret) แท้จริงแล้วมาจากภาษาฝรั่งเศส โดยหมายถึง ธุรกิจที่ให้บริการสุรา


ธุรกิจคาบาร์เร่ต์ เริ่มต้นขึ้นในปี 1881 โดยเริ่มจากร้านอาหาร Le Chat Noir (เลอ ชา นัว) ในเขตมงมาร์ต เมืองปารีส

.

ซึ่งสถานที่นี้เองเป็นสถานที่พบปะของนักเขียน กวี และ ศิลปิน

.

โดยพวกเขาจะแสดงผลงานของเขา ให้แขกที่มารับประทานอาหารโดยแลกกับอาหารเล็กๆ น้อยๆ


นี่เป็นสิ่งที่ทั้งสองได้ประโยชน์ร่วมกันเนื่องจากทำให้ร้านอาหารมีลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น

.

และสามารถดึงดูดผู้ที่มีชื่อเสียงเช่น Maupassant (กี เดอ โมปัสซองต์), Debussy (โกล้ด เดอบูว์ซี) และ Satie(เอริก ซาตี) เหล่ากวีเอกแห่งเมืองปารีส ให้มาใช้บริการ

.

หลังจากนั้นก็เกิดคาบาร์เร่ต์ขึ้นมากมายทั่วกรุงปารีส ลามไปถึงเมืองอื่นๆ ในฝรั่งเศส และเยอรมันอีกด้วย

.

โดยรูปแบบการแสดงก็จะมีตั้งแต่วงนักดนตรีเล็กๆ ไปจนถึงการแสดงเต็มรูปแบบ


ในสหรัฐอเมริกา คาบาร์เร่ต์ถูกพัฒนาให้มีความอลังการมากขึ้น

.

ในช่วงยุค 1910 คาเฟ่ขนาดใหญ่หลายแห่งได้จัดนักร้องมาให้ความสำราญกับแขกที่มารับประทานอาหาร

.

ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลายปีต่อมา นักร้อง และโซนเต้นรำกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ คาบาร์เร่ต์ นั่นเอง


ปฏิวัติวงการ

ในปี 1920 เป็นช่วงเดียวกับการเริ่มต้นของยุคเพลงแจ๊ส(Jazz era) เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดสงครามโลก


ความชื่นมื่นแพร่กระจายไปทั่วสหรัฐ แน่นอนว่าเหล่าสตรีทั้งหลายต่างพร้อมใจกับโยนชุดรัดรูป (Corset) ทิ้งไป ตัดผมให้สั้นลง ดึงชายกระโปรงขึ้น และเรียกตัวเองว่า Flappers (แฟลปเปอร์)

.

ปกติแล้วช่างแต่งหน้ามักจะยึดคติที่ว่า “แต่งตาให้เข้มกว่าทาปาก (Darker the eyes, lighter the lips)”


แต่นั่นใช้กับเหล่า Flappers ไม่ได้ พวกเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ หัวรั้น แต่งหน้าจัด จึงฉีกกฎการแต่งหน้าแบบเดิมๆ ทิ้ง ด้วยการทาขอบตาให้ดำ และใช้ลิปสติกสีเข้ม

.

ในขณะที่ the Moulin Rouge (มูแลงรูจ) ในกรุงปารีส จะใช้กากเพชร และเทคนิคแต่งหน้าแบบระยิบระยับ ที่เรียกว่า Vixens (วิก เซิน)


และกรุงเบอร์ลิน จะแต่งหน้าด้วยสไตล์ที่เข้มขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสีที่เป็นที่นิยมก็คือสีดำ และเบอร์กันดีสีเข้ม (Dark burgundy)


ผมคิดว่าคาบาร์เร่ต์สะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆ อย่างของสังคม และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญตั้งแต่สมัยสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น การแต่งตัว รวมไปถึงสิทธิสตรีอีกด้วย


 

จากการฉีกกฎการแต่งหน้าแบบเดิมๆ แล้วเปลี่ยนมาแต่งหน้าให้เข้มขึ้นของคณะคาบาร์เร่ต์ จึงทำให้ต้องใช้เครื่องสำอางที่มากขึ้นในการแต่งหน้าตามไปด้วย

.

ถ้าอย่างนั้น เราก็ขอนำเสนอการฉีกกฎการล้างเครื่องสำอางแบบเดิมๆ ด้วย


‘Bioderma Cleansing สูตร Sensibio H2O(สำหรับผิวแพ้ง่าย) และ Sebium H2O(ผิวมันเป็นสิว)’

คลีนเซอร์ และเมคอัพรีมูฟเวอร์อันดับหนึ่ง เหมาะกับผิวแพ้ง่าย และผิวมันเป็นสิว เมคอัพหนาแค่ไหนก็ล้างออกได้ง่ายๆ แน่นอน


ดู 32 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page